Chapter 5
ระบบปฏิบัติการ
(Operating
System) คืออะไร
ระบบปฏิบัติการคือ
ซอฟต์แวร์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดการและควบคุมโปรแกรมประยุกต์และโปรแกรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
รวมถึงการติดต่อประสานงานกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถปฏิบัติงานได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ
ไบออส (BIOS – Basic Input Output System) รากฐานรองรับระบบปฏิบัติการ
ไบออสเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคำสั่งที่บรรจุอยู่ในหน่วยความจำ ROM มีหน้าที่หลักคือควบคุมอุปกรณ์มาตรฐานในเครื่อง เช่น ซีพียู หน่วยความจำ ROM และ RAM ฯลฯ
ไบออสทำให้ระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้งานเป็นอิสระจากอุปกรณ์
ปัจจุบันอุปกรณ์ที่ใช้เก็บโปรแกรมไบออสจะเป็นวงจรหน่วยความจำแบบ Flash ROM ที่สามารถแก้ไขโปรแกรมได้ (แต่ไม่บ่อย) ซึ่งมักแก้ไขในกรณีที่พบปัญหาหรือข้อผิดพลาดในไบออส
หรือมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมฟังก์ชันการทำงานที่สำคัญ
ผู้ผลิตก็อาจออกไบออสรุ่นใหม่ให้ผู้ใช้แก้ไขได้
การเริ่มต้นทำงานของคอมพิวเตอร์ (Boot
Up)
ก่อนที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานได้นั้น
จะต้องนำเอาระบบปฏิบัติการเข้าไปเก็บไว้ยังหน่วยความจำของเครื่องเสียก่อน
กระบวนการนี้เราเรียกว่า การบู๊ตเครื่อง (boot) นั่นเอง
ซึ่งจะเริ่มทำงานทันทีตั้งแต่เปิดสวิทช์เครื่อง มีขั้นตอนที่พอสรุปได้ดังนี้ คือ
ภาพที่ 5.1 : ขั้นตอนการบู๊ตเครื่องในคอมพิวเตอร์
|
1.
พาวเวอร์ซัพพลายส่งสัญญาณไปให้ซีพียูเริ่มทำงาน power supply ทำหน้าที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าไปให้อุปกรณ์ต่างๆ
ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
2.
ซีพียูจะสั่งให้ไบออสทำงาน ซีพียูจะพยายามเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในไบออสเพื่อทำงานตามชุดคำสั่งที่เก็บไว้โดยทันทีที่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายมายังเครื่องคอมพิวเตอร์และมีสัญญาณให้เริ่มทำงาน
3.
เริ่มทำงานตามกระบวนการที่เรียกว่า POST เพื่อตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆ กระบวนการ POST ทำหน้าที่ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่อง
รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ เช่น คีย์บอร์ดหรือเมาส์
4. ผลลัพธ์จากกระบวนการ POST จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่อยู่ในซีมอส หน่วยความจำที่เรียกว่า ซีมอส (CMOS – complementary metal oxide
semiconductor) ซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยในการหล่อเลี้ยงโดยใช้แบตเตอรี่ตัวเล็กๆ
บนเมนบอร์ดเพื่อให้เครื่องจำค่าต่างๆ ไว้ได้
5.
ไบออสจะอ่านโปรแกรมสำหรับบู๊ตจากฟล็อปปี้ดิสก์ ซีดีหรือฮาร์ดดิสก์ ปัจจุบันไบออสรุ่นใหม่ๆ
สามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้บู๊ตเครื่องจากอุปกรณ์ตัวใดก่อนก็ได้
6. โปรแกรมส่วนสำคัญจะถูกถ่ายค่าลงหน่วยความจำ RAM เมื่อไบออสรู้จักระบบไฟล์ของไดว์ที่บู๊ตได้แล้ว
ก็จะไปอ่านโปรแกรมส่วนสำคัญของระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า เคอร์เนล (kernel) เข้ามาเก็บในหน่วยความจำหลัก หรือ RAM
ของคอมพิวเตอร์เสียก่อน
7.
ระบบปฏิบัติการในหน่วยความจำเข้าควบคุมเครื่องและแสดงผลลัพธ์ เคอร์เนลที่ถูกถ่ายโอนลงหน่วยความจำนั้นจะเข้าไปควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยรวมและโหลดค่า
configuration ต่างๆ
พร้อมทั้งแสดงผลออกมาที่เดสก์ท็อปของผู้ใช้เพื่อรอรับคำสั่งการทำงานต่อไป
ประเภทของการบู๊ตเครื่อง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน
ประเภทของการบู๊ตเครื่อง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน
-
โคลด์บู๊ต (Cold boot) เป็นการบู๊ตเครื่องที่อาศัยการทำงานของฮาร์ดแวร์
โดยการกดปุ่มเปิดเครื่อง (power on) แล้วเข้าสู่กระบวนการทำงานโดยทันที
- วอร์มบู๊ต (Warm boot) เป็นการบู๊ตเครื่องโดยทำให้เกิดกระบวนการบู๊ตใหม่หรือที่เรียกว่า การรีสตาร์ทเครื่อง
(restart) โดยมากจะใช้ในกรรีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานต่อไปได้
จึงต้องมีการบู๊ตเครื่องกันใหม่ สามารถทำได้ 3 วิธีคือ
1. กดปุ่ม Reset
บนเครื่อง (ถ้าที)
2. กดคีย์ Ctrl
+ Alt + Delete จากแป้นพิมพ์ แล้วเลือกคำสั่ง restart จากระบบปฏิบัติการที่ใช้
3. สั่งรีสตาร์ทเครื่องจากเมนูบนระบบปฏิบัติการ
ส่วนประสานงานกับผู้ใช้
(User Interface) สามารถแบ่งออกได้เป็น
2 ประเภท ดังนี้
- ประเภทคอมมานด์ไลน์ (command
Line) เป็นส่วนประสานงานกับผู้ใช้ที่อนุญาตให้ป้อนรูปแบบคำสั่งที่เป็นตัวหนังสือ
(text) สั่งการลงไปด้วยตนเองเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการทีละบรรทัดคำสั่งหร
อ คอมมานด์ไลน์ (command line)
- ประเภทกราฟิก (GUI –
Graphical User Interface) เป็นการพัฒนาระบบสั่งงานคอมพิวเตอร์แบบใหม่โดยปรับมาใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ในการสั่งงานแทน
บางครั้งนิยมเรียกระบบนี้ว่า กิวอี้
ระบบนี้ผู้ใช้อาจไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบคำสั่งเพื่อใช้งานให้ยุ่งยากเหมือนกับแบบคอมมานด์ไลน์
โดยเพียงแค่เลือกรายการคำสั่งภาพที่ปรากฏบนจอนั้นผ่านอุปกรณ์บางอย่าง เช่น
เมาส์หรือคีย์บอร์ด เป็นต้น
การจัดการกับไฟล์ (File
Management)
ความหมายของไฟล์ (Files)
ไฟล์ (File)
เป็นหน่วยในการเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ อาจจะเก็บอยู่ในสื่อเก็บบันทึกข้อมูลต่างๆ
และจะอ้างอิงถึงได้ โดยระบุชื่อไฟล์และส่วนขยายตามกติกาดังนี้
- ชื่อไฟล์ (file
name) ในระบบปฏิบัติการรุ่นแรกๆ สามารถตั้งได้ไม่เกิน 8 อักขระเท่านั้น
แต่การใช้งานกับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆ เช่น windows สามารถตั้งชื่อไฟล์ไดมากถึง
256 อักขระ
- ส่วนขยาย (extensions)
ช่วยให้ระบบปฏิบัติการเข้าใจรูปแบบหรือชนิดของไฟล์ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ประกอบด้วยอักขระประมาณ 3-4 ตัว เขียนเพิ่มต่อจากชื่อไฟล์ คั่นด้วยเครื่องหมายจุด (.)
เทียบไดกับนามสกุลของไฟล์
โดยทั่วไปไฟล์จะมีชื่อซ้ำกันได้
ถ้าคนละส่วนขยาย แต่จะซ้ำทั้งสองอย่างไม่ได้
เช่นเดียวกับคนซึ่งไม่ควรมีทั้งชื่อและนามสกุลซ้ำกัน
ลำดับโครงสร้างไฟล์
(Hierarchical
File System)
ระบบปฏิบัติการจะจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างแบบลำดับชั้นทำนองเดียวกับการสืบทอดสายพันธ์ของมนุษย์
ที่มีโครงสร้างถึงรุ่นลูกรุ่นหลานแตกย่อยออกไปเรื่อยๆ
โครงสร้างแบบนี้บางครั้งนิยมเรียกว่า โครงสร้างแบบต้นไม้
(tree-like structure)
ภาพที่ 5.2 โครงสร้างแบบต้นไม้ในการสืบทอดพันธุกรรมของมนุษย์
|
ในระบบปฏิบัติการ
เมื่อต้องการเก็บข้อมูลก็จะมีการจัดเก็บไฟล์ที่แยกโครงสร้างออกเป็นส่วนๆ
เหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้แต่ละกิ่งเรียกว่า “โฟลเดอร์ (folder)” แบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อยดังนี้
1.
ไดเร็คทอรี (Directory) เป็นโฟลเดอร์หลักสำหรับจัดเก็บหมวดหมู่ไฟล์ขั้นสูงสุดในระบบ
บางครั้งอาจเรียกว่า root directory สำหรับใน windows
จะมี root directory ของแต่ละไดรว์แยกกัน เช่น
C:\ คือ root directory ของไดรว์ C:
2. ซับไดเร็คทอรี (Sub-Directory)
เป็นโฟลเดอร์ย่อยที่ถูกแบ่งและจัดเก็บไว้ออกมาอีกชั้นหนึ่ง
โดยที่เราสามารถเอาข้อมูลหรือไฟล์จัดเก็บลงไปในซับไดเร็คทอรีได้เช่นเดียวกัน
และยังสามารถแบ่งหรือสร้างซับไดเร็คทอรีย่อยๆ ลงไปอีกได้ไม่จำกัด เสมือนกับการแผ่กิ่งก้านสาขาของต้นไม้
เป็นต้น
ภาพที่
5.3
โครงสร้างแบบต้นไม้ในระบบปฏิบัติการ
|
โดยทั่วไประบบปฏิบัติการจะมีคำสั่งสำหรับจัดการกับไฟล์ข้อมูลในเครื่องให้ผู้ใช้เรียกทำงาน
อาจจะผ่านส่วนประสานงานกับผู้ใช้แบบคอมมานด์ไลน์หรือกิวอี้ คำสั่งจัดการไฟล์เบื้องต้นที่ควรรู้จักมีดังนี้
การจัดการหน่วยความจำ
(Memory
Management)
ในการประมวลผลกับข้อมูลที่มีปริมาณมากหรือทำงานหลายๆ
โปรแกรมพร้อมกัน หน่วยความจำหลักประเภท RAM อาจมีเนื้อที่ไม่พอใช้เก็บข้อมูลในขณะประมวลผลได้
ระบบปฏิบัติการจะแก้ปัญหานี้โดยวิธีที่เรียกว่า หน่วยความจำเสมือน (VM
– virtual memory) โดยใช้เนื้อที่ของหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เช่น
ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งมีความจุข้อมูลมากกว่า RAM เก็บข้อมูลทั้งหมดของโปรแกรมที่ทำงานอยู่ขณะนั้นเอาไว้เป็นไฟล์ในฮาร์ดดิสก์
และแบ่งเนื้อที่เหล่านั้นออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า เพจ (page) ซึ่งมีการกำหนดไว้แน่นอน
จากนั้นระบบปฏิบัติการจะเลือกโหลดเอาเฉพาะข้อมูลในเพจที่กำลังจะใช้นั้นเข้าสู่หน่วยความจำ
RAM
จนกว่าจะเต็ม หลังจากนั้นหากยังมีความต้องการใช้เนื้อที่ของ RAM
เพิ่มอีก
ก็จะจัดการถ่ายเทข้อมูลบางเพจที่ยังไม่ใช้ในขณะนั้นกลับออกไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
เพื่อให้ RAM มีเนื้อที่เหลือว่างสำหรับนำข้อมูลเพจใหม่ที่จะต้องใช้ในขณะนั้นเข้ามาแทนและสามารถทำงานต่อไปได้
ภาพที่ 5.4 การจัดการหน่วยความจำแบบที่เรียกว่า swapping |
การจัดการอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผลข้อมูล
(I/O
Device Management)
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
อุปกรณ์นำเข้ามากกว่าหนึ่งตัวสามารถส่งข้อมูลเข้าไปยังระบบปฏิบัติการได้พร้อมๆ กัน
ระบบปฏิบัติการก็อาจต้องการส่งข้อมูลหลายๆ โปรแกรมไปยังอุปกรณ์แสดงผลด้วยเช่นกัน
อัตราการรับ – ส่งข้อมูลของแต่ละอุปกรณ์มีความเร็วต่ำกว่าซีพียูมาก
ระบบปฏิบัติการจึงต้องเตรียมพื้นทีส่วนหนึ่ง
จะเป็นในหน่วยความจำหรือฮาร์ดดิสก์ก็ตาม เรียกว่า บัฟเฟอร์ (buffer) เพื่อเป็นที่พักรอของข้อมูลที่อ่านเข้ามาหรือที่เตรียมส่งออกไปยังอุปกรณ์แสดงผลต่างๆ
สำหรับในกรณีของเครื่องพิมพ์
ข้อมูลที่สั่งพิมพ์นั้นมีขนาดใหญ่มาก หรือสั่งพิมพ์หลายๆ งานพร้อมกัน
เครื่องพิมพ์จะพิมพ์งานตามลำดับไปทีละงาน จะสลับหรือผสมกันไม่ได้
จึงต้องกันที่ในฮาร์ดดิสก์ไว้พักข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดก่อน
วิธีนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า การทำ spooling ซึ่งระบบจะเก็บงานที่สั่งพิมพ์ต่างๆ
รวมไว้และจัดคิวที่จะส่งไปยังเครื่องพิมพ์ตามลำดับเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา
ภาพที่
5.5
การจัดคิวข้อมูลในการพิมพ์
|
การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง
(CPU
Management)
ระบบปฏิบัติการมีความสามารถในการทำให้ซีพียูตัวเดียวทำงานให้กับผู้ใช้ได้หลายๆ
คนในเวลาเดียวกัน (multi - user) ซีพียูให้บริการโดยแบ่งเวลาการทำงานของซีพียูออกเป็นช่วงๆ
ให้กับผู้ใช้แต่ละคน โดยที่แต่ละคนจะไม่ทราบเลยว่าซีพียูได้แบ่งเวลาไปทำงานของคนอื่นๆ
ด้วย เพราะการสลับงานนี้จะเร็วมากจนผู้ใช้แทบจะไม่ทันสังเกต
ภาพที่
5.6
การทำงานแบบแบ่งเวลาใช้งานในระบปฏิบัติการ
|
นอกจากนั้น ในการทำงานกับคอมพิวเตอร์เพื่อให้มีการประมวลผลที่เร็วมายิ่งขึ้น จะมีการใช้ซีพียูมากกว่าหนึ่งตัวเข้ามาทำงานร่วมกันหรือเรียกว่า multi – processing ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลายๆ คำสั่งงานในเวลาเดียวกัน
ข้อดี ของการทำงานด้วย multi –
processing ยังมีประโยชน์อีกในแง่หนึ่งว่า
ถ้าหากซีพียูตัวใดตัวหนึ่งเสีย ก็ยังมีตัวอื่นอีกที่สามารถทำงานแทนกันได้
การรักษาความปลอดภัยของระบบ
ปกติการทำงานของระบบปฏิบัติการ
จะต้องมีความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและตัวเครื่องนั้นๆ เองได้ในระดับหนึ่ง
เช่น ในขั้นตอนการ logon
จะเป็นการตรวจสอบสิทธิ์การเข้าใช้เครื่องของผู้ที่ของอนุญาตเข้ามา
โดยจะนำเข้าชื่อและรหัสผ่านของผู้ขออนุญาตไปสืบค้น
ภาพที่ 5.7 การ logon โดยระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านก่อนเข้าใช้ระบบ
นับเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นต้น
|
การตรวจสอบสถานการณ์ทำงานของระบบ
ระบบปฏิบัติการควรมีความสามารถที่จะวัดค่าประสิทธิภาพบางอย่างในการทำงานของเครื่อง
เช่น การใช้เวลาของซีพียู หรือตรวจสอบเวลาของซีพียูที่ถูกปล่อยว่างในการทำงาน
ตัวอย่างเช่น
ในระบบปฏิบัติการ windows
รุ่นใหม่ๆ จะมีโปรแกรมที่เรียกว่า System Performance สำหรับตรวจสอบระบบ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถทราบสถานการณ์ทำงานและเป็นข้อมูลประกอบการแก้ปัญหาต่างๆ
ที่อาจมีขึ้นได้
ภาพที่
5.8
ยูทิลิตี้
System
Performance ในการตรวจสอบสถานะการทำงานของระบบ
|
ข้อมูล
:
หนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้เขียน
:
วิโรจน์ ชัยมูล, สุพรรษา
ยวงทอง
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5
1. cross – platform application คืออะไร จงอธิบาย
ตอบ โปรแกรมประยุกต์ที่สนับสนุนการทำงานบนระบบปฏิบัติการได้หลายๆตัว
ซึ่งทำให้การใช้งานมี
ความหลากหลายมากขึ้น
เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์อาจจะมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการที่ไม่เหมือนกัน
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์เพื่อให้ทำงานข้ามแพลตฟอร์มหรือข้ามระบบปฏิบัติการได้
จึงเป็นทางเลือก
ให้กับผู้ใช้ได้ได้ดีพอสมควร
ตอบ มีประโยชน์ในการช่วยให้คอมพิวเตอร์รู้จักกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหลายที่เชื่อมต่อเข้าไว้ด้วยกัน
ซึ่งจะทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ชนิดนั้นราบรื่นและสามารถทำงานได้อย่างไม่ติดขัด
เมื่อถอด ย้ายหรือติดตั้งอุปกรณ์ต่อพ่วงนั้นเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นใหม่อีก
ก็สามารถใช้ device
driver นี้ติดตั้งเพื่อให้เครื่องอื่นๆรู้จักและติดต่อสื่อสารได้อีกเช่นกัน
ปกติผู้ผลิตจะแนบตัวโปรแกรมเหล่านี้มาพร้อมกับการซื้ออุปกรณ์แล้วในครั้งแรก
3.
เสียงสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ตอบสนองออกมาสั้นบ้าง
ยาวบ้างนั้นเกิดจากกระบวนการในขั้นตอนใด และเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น
ตอบ เกิดขึ้นในช่วงขั้นตอนที่เรียกว่า
POST
หรือ power on self test เพื่อตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องไม่ว่าจะเป็นเมนบอร์ด
แรม ซีพียูรวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ เช่น คีย์บอร์ดหรือเมาส์
โดยจะส่งสัญญาณเป็นเสียงสั้นยาวต่างกัน เมื่อพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น
4.
ประเภทของการบู๊ตเครื่องมีกี่ประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
- โคลบู๊ต (cold boot) เป็นการบู๊ตเครื่องที่อาศัยการทำงานของฮาร์ดแวร์ โดยการกดปุ่มเปิดเครื่อง
(power on) แล้วเข้าสู่กระบวนการทำงานโดยทันที
ปุ่มเปิดเครื่องจะทำหน้าที่เหมือนเป็นสวิตช์ปิดเปิดการทำงานโดยรวมของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดเหมือนกับสวิตช์ของอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป
- วอร์มบู๊ต (warm
boot) เป็นการบู๊ตเครื่องโดยทำให้เกิดกระบวนการบู๊ตใหม่หรือที่เรียกว่า
การรีสตารท์เครื่อง (restart) โดยมากจะนิยมใช้ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานต่อไปได้
สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกันคือ
1. กดปุ่ม Reset
บนตัวเครื่อง
2.
กดปุ่ม Ctrl+Alt+Delete จากแป้นพิมพ์
3. สั่งรีสตารท์เครื่องได้จากเมนูบนระบบปฏิบัติการได้เลย
5.
จงบอกถึงความแตกต่างระหว่างส่วนประสานกับผู้ใช้แบบ Command
line และแบบ GUI มาพอสังเขป
ตอบ ส่วนประสานงานแบบ
command
line จะสนับสนุนให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลคำสั่งด้วยตัวอักษรเพียงเท่านั้น
จึงเหมาะกับผู้ที่มีความชำนาญในการใช้งานพอสมควร
เนื่องจากต้องจดจำรูปแบบคำสั่งได้ดี สำหรับส่วนประสานงานกับผู้ใช้แบบกราฟฟิกหรือ GUI
จะสนับสนุนการทำงานแบบรูปภาพคำสั่งมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวกและไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ใช้
โดยไม่จำเป็นต้องจำคำสั่งตัวอักษรเหล่านั้น ผู้ใช้เพียงแค่เลือกรายการคำสั่งภาพที่ปรากฎบนจอ
ก็สามารถสั่งการให้ทำงานได้ตามต้องการ
6.
โครงสร้างแบบต้นไม้ คืออะไร
เกี่ยวข้องกับโครงสร้างไฟล์ในคอมพิวเตอร์อย่างไรบ้าง
ตอบ Treelike
structure หรือโครงสร้างแบบต้นไม้
เป็นรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลแบบลำดับชั้นนิยมใช้สำหรับการจัดการโครงสร้างไฟล์ในระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์
ซึ่งจะทำโดยแยกออกเป็นส่วนๆเรียกว่า
โฟลเดอร์ เหมือนเป็นกิ่งก้านและแตกสาขาไปได้อีก
7.
ส่วนประกอบย่อยของไฟล์ประกอบด้วยส่วนใดบ้าง
จงยกตัวอย่างไฟล์มาอย่างน้อย 5 รูปแบบพร้อมทั้งอธิบายด้วยว่าแต่ละรูปแบบมีความหมายเช่นไร
ตอบ ประกอบด้วยส่วนย่อย
2 ส่วน คือ ชื่อไฟล์ (naming
files) และส่วนขยาย (extentions) ยกตัวอย่างไฟล์
5 รูปแบบได้ดังนี้
- myprofile.doc ไฟล์ที่ใช้เรียกมีชื่อว่า
myprofile นามสกุลหรือส่วนขยายคือ doc ซึ่งเป็นไฟล์ประเภทเอกสารงานนั่นเอง
(document)
- report.xls ไฟล์ที่ใช้เรียกมีชื่อว่า
report นามสกุลหรือส่วนขยายคือ xls ซึ่งเป็นไฟล์ประเภทตารางคำนวณพบเห็นได้กับการใช้งานในโปรแกรม
Microsoft Excel
- present.ppt ไฟล์ที่ใช้เรียกมีชื่อว่า
present นามสกุลหรือส่วนขยายคือ ppt เป็นไฟล์ที่ใช้สำหรับงานนำเสนอข้อมูล
สร้างจากโปรแกรม Microsoft PowerPoint
- about.htm ไฟล์ที่ใช้เรียกมีชื่อว่า
about นามสกุลหรือส่วนขยายคือ htm ซึ่งเป็นไฟล์ที่เขียนด้วยภาษา
HTML ที่ใช้สำหรับการแสดงผลบนเว็บเพจ
- message.txt ไฟล์ที่ใช้เรียกมีชื่อว่า
message นามสกุลหรือส่วนขยายคือ txt ซึ่งเป็นไฟล์ประเภทข้อความ
มักสร้างจากโปรแกรมประเภท editor ทั่วไป
8.
หน่วยความจำเสมือนเกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำอย่างไรบ้าง
จงอธิบาย
ตอบ หน่วยความจำเสมือนหรือ
virtual
memory จะเป็นหน่วยความจำที่ทำงานเหมือนกับ RAM โดยใช้เนื้อที่ส่วนของหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมากกว่า
มาเก็บของส่วนงานทั้งหมดไว้เพื่อเอามาช่วยการทำงานของ RAM เมื่อต้องประมวลผลงานที่มากขึ้น
โดยจะแบ่งงานที่มีอยู่ออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า page ซึ่งจะมีขนาดที่แน่นอน
เมื่อใดที่ต้องการประมวลผล ก็จะเลือกเอาเฉพาะเพจที่ต้องการเข้าสู่หน่วยความจำ RAM
จนกว่าข้อมูลใน RAM เต็มจึงจะจัดการถ่ายเทข้อมูลดังกล่าวกลับไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เพื่อให้ RAM
มีเนื้อที่เหลือว่างและทำงานต่อไปได้ ทำให้หน่วยความจำสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
9.
spolling ที่เกิดขึ้นในการพิมพ์งาน มีหลักการอย่างไรบ้าง
ตอบ หลักการจะอาศัยพื้นที่ส่วนหนึ่งของฮาร์ดดิสก์
ใช้เก็บข้อมูลที่อ่านเข้ามาไว้ก่อนที่จะส่งไปที่เครื่องพิมพ์
เพราะการเก็บข้อมูลไว้ที่ฮาร์ดดิสก์ก่อนจะทำได้เร็วกว่าการเขียนข้อมูลไปที่เครื่องพิมพ์โดยตรง
ซึ่งทำให้การทำงานสะดวกมากขึ้น
โดยเฉพาะกับการพิมพ์งานพร้อมกันทีเดียวในสำนักงานทั่วไป เพราะสามารถจัดคิวเพื่อส่งพิมพ์ผลลัพธ์ได้ตามลำดับก่อนหลัง
10.
ระบบ plug and play คืออะไร
มีประโยชน์อย่างไรต่อการทำงาน
ตอบ เป็นคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระบบปฏิบัติการบางตัว
เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น
ผู้ใช้เพียงแค่เชื่อมต่ออุปกรณ์เหล่านั้นเข้ากับคอมพิวเตอร์ (plug) ก็สามารถใช้งานได้เลยทันที
(play)
11.
multi-processing คือการประมวลผลงานลักษณะใด
มีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง จงอธิบายพอสังเขป
ตอบ เป็นการทำงานเพื่อให้ประมวลผลเร็วขึ้น
โดยใช้ซีพียูที่มากกว่าหนึ่งตัวเข้ามาทำงานร่วมกัน ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลายๆคำสั่งงานในเวลาเดียวกัน
โดยที่ระบบปฏิบัติการจะทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของซีพียูที่มากกว่าหนึ่งตัวนี้ให้ทำงานด้วยกันได้เป็นอย่างดี
และถึงแม้ซีพียูตัวใดตัวหนึ่งเสีย
ก็ยังสามารถทำงานแทนกันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น